วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563


สุมาอี้



ประวัติและบทบาท


เป็นชาวอำเภออุน เมืองเหอเน่ย (โห้ลาย) มณฑลเหอหนาน มีชื่อรองว่า จ้งต๋า มีลักษณะ แววตาแหลมเล็กคล้ายตาเหยี่ยว สุมาอี้เป็นคนเฉลียวฉลาด ชำนาญตำราพิชัยสงคราม ใจคอหนักแน่นแต่ก็เด็ดขาดในการตัดสินใจ กระทั่งมีผู้สนใจประวัติศาสตร์สามก๊ก ได้วิจารณ์ในทำนองเสียดสีไว้ว่า สุมาอี้คือ "เจ้าสำนักด้านดำ" คือ มีความชาด้านทำเพื่อประโยชน์ของตนได้เสมอ โดยไม่สนใจในเรื่องคุณธรรมศักดิ์ศรี และมีความใจดำอำมหิตพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นอุปนิสัยของผู้มีอำนาจในประวัติศาสตร์ทุกยุคสมัย และได้รับอีกฉายาหนึ่งว่า "งูแมวเซา" มีคำวิจารณ์ว่าบุคคลที่ฉลาดที่สุดในสามก๊ก คือ ขงเบ้ง แต่บุคคลที่ทั้งฉลาดและน่ากลัวที่สุดในสามก๊ก คือ สุมาอี้

สุมาอี้เริ่มต้นจากการรับราชการตำแหน่งเล็กก่อนที่จะไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งเสนาธิการและแม่ทัพ อย่างไรก็ตาม ความสุขุมลุ่มลึกของสุมาอี้นั้น ทำให้แม้แต่โจโฉยังไม่ไว้วางใจ และเคยเตือนบุคคลรอบข้างให้ระวังสุมาอี้ เมื่อโจโฉและโจผีสิ้นลง โจยอยได้ขึ้นครองราชย์ สุมาอี้ได้รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของวุยก๊ก โดยผลัดแพ้ ผลัดชนะกับขงเบ้งอยู่หลายครั้ง ทั้งคู่ต่างเกรงขามฝีมือของกันและกัน สุมาอี้เกือบตายด้วยวงล้อมไฟของขงเบ้งครั้งนึง แต่รอดมาได้ด้วยฝน ขณะที่ขงเบ้งก็เกือบตายเมื่อพลาดท่าที่จุดยุทธศาสตร์เกเต๋ง แต่อาศัยการลักไก่ เล่นพิณบนกำแพงเมืองแล้วเปิดประตูเมือง ทำให้สุมาอี้ระแวงแล้วไม่กล้าบุก

ในการรบครั้งสุดท้ายระหว่างขงเบ้งกับสุมาอี้ ขงเบ้งต้องการเสร็จศึกโดยเร็วเพราะมีแม่ทัพเก่ง ๆ เยอะ แต่มีเสบียงน้อย ในขณะที่สุมาอี้นั้นมีเสบียงมากมาย ดังนั้นจึงไม่ยอมออกมารบ ขงเบ้งได้ส่งคนท้าทายสุมาอี้หลายต่อหลายครั้ง ถึงขนาดส่งเสื้อผ้าสตรีเยาะเย้ยให้สุมาอี้แต่ก็ไม่ยอมออกมา ดังคำที่สุมาอี้ทักไว้ แต่หลังจากขงเบ้งได้รู้ว่าตนกำลังจะสิ้นบุญจึงทำพีธีต่อชะตาเป็นเวลา 7 วันโดยไม่ให้กองทัพเคลื่อนไหว สุมาอี้ได้ตรวจดูชะตาบนดวงดาวพบว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับขงเบ้งและเห็นว่ากองทัพจ๊กก๊กไม่ยอมออกมาจากค่ายจึงแน่ใจว่าขงเบ้งกำลังป่วยจึงฉวยโอกาสสั่งให้กองทัพบุกโจมตีค่ายของจ๊กก๊กทำให้อุยเอี๋ยนรีบเข้ามารายงานกับขงเบ้งที่เต็นท์ทำให้เทียนต่อชะตาดับจนพีธีต่อชะตาของขงเบ้งต้องล่มไป แต่ขงเบ้งสั่งอุยเอี๋ยนนำกองทัพไปตีโต้กลับขับไล่กองทัพของสุมาอี้ไปจนถึงหน้าค่ายจนทำให้สุมาอี้คิดว่าขงเบ้งไม่ได้ป่วยจึงได้แต่อยู่ในค่ายและไม่ยอมให้ออกจากค่ายตามเดิม จนกระทั่งสุมาอี้ก็ได้รับรู้ข่าวว่าขงเบ้งล้มป่วยตายแล้วและกองทัพจ๊กก๊กได้ถอยทัพกลับเสฉวนจึงรีบนำกองทัพบุกไล่ตีตลบหลังกองทัพจ๊กก๊ก แต่สุมาอี้ได้เจอกับขงเบ้งที่นั่งบนรถนำกองทัพจ๊กก๊กมาตั้งรับจึงตกใจและคิดว่าได้ถูกเล่ห์กลของขงเบ้งหลอกให้ออกจากค่ายจึงรีบถอยทัพกลับค่ายทันที ต่อมาภายหลังก็ได้รับรู้จากชาวบ้านว่าขงเบ้งได้ตายแล้วจริง ๆ และที่สุมาอี้เห็นก็เป็นหุ่นกระบอกไม้ที่กองทัพจ๊กก๊กได้นำมาแต่งชุดและนั่งบนรถนำทัพมาตั้งรับ แล้วหลังจากกองทัพสุมาอี้ถอยทัพกลับค่ายไปแล้ว กองทัพจ๊กก๊กก็ได้ถอยทัพไปได้ไกลจนถึงเสฉวน สุมาอี้ก็ได้รู้ว่าขงเบ้งได้รู้ล่วงหน้าก่อนว่าตนจะนำกองทัพตีตลบหลังกองทัพจ๊กก๊กที่กำลังถอยทัพหลังจากตนได้ตาย จึงได้ใช้กลอุบายใช้หุ่นไม้หลอกสุมาอี้ให้ถอยทัพกลับค่าย จนต้องทำให้สุมาอี้ต้องเอ่ยปากชมว่า ขงเบ้งนั้นเก่งจริง ๆ ขนาดตอนเป็นยังหลอกได้ แต่ตอนตายยังหลอกอีก แต่ถึงอย่างไรแม้จะถูกขงเบ้งหลอกแต่สุมาอี้ก็ได้รับชัยชนะอย่างแท้จริงและไม่มีใครที่จะมีความเก่งเทียบเท่าและขัดขวางทางความทะเยอทะยานอย่างสุมาอี้ได้อีกแล้ว

ในปลายรัชสมัยโจยอย สุมาอี้ได้รับการเลื่อนยศและบรรดาศักดิ์ มีอำนาจควบคุมทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน โจยอยนับถือเสมือนพระราชบิดา คนในตระกูลสุมารับราชการในชั้นสูงมากถึง 11 คนเมื่อสิ้นโจยอย โจฮองขึ้นครองราชย์แทน สุมาอี้ถูกตระกูลโจถอดออกจากตำแหน่งไปอยู่บ้านเฉย ๆ เพราะไม่ไว้ใจในความซื่อสัตย์ของสุมาอี้ แม้สุมาอี้จะถูกปลดเป็นเวลานานถึง 10 ปีแล้วแต่ก็ยังคงฝึกการต่อสู้และมีบารมีในกองทัพอยู่ โจซองก็ยังไม่ไม่ไว้ใจสุมาอี้อยู่จึงส่งคนไปจับตาดูแต่สุมาอี้ได้แกล้งป่วยอาการทรุดหนักทำให้โจซองตายใจไม่หวาดระแวงอะไร แต่ท้ายที่สุดก็ทำการรัฐประหารในเมืองลกเอี๋ยง โค่นอำนาจที่คุมกองทัพของตระกูลโจ ที่นำโดยโจซอง บุตรชายของอดีตแม่ทัพใหญ่โจจิ๋น หมดสิ้น และเป็นตระกูลสุมาที่ได้ขึ้นมาครองอำนาจแทน

มีบุตรชาย 2 คน ที่ล้วนแต่มีความสามารถมาก เพราะสุมาอี้มักสั่งสอนและให้ติดตามทำศึกอยู่เสมอ ๆ คือ สุมาสู และสุมาเจียว ภายหลังจากสิ้น 3 คนนี้แล้ว สุมาเอี๋ยน บุตรชายของสุมาเจียว หลานปู่ของสุมาอี้ได้รวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียว และขึ้นครองราชย์เป็นเสวียนตี้ฮ่องเต้ ปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์จิ้น เป็นอันสิ้นสุดยุคสามก๊ก และ ราชวงศ์ฮั่นสุมาอี้เสียชีวิตเมื่ออายุได้ 73 ที่เมืองลกเอี๋ยง ด้วยโรคชรา

ที่มา : https://www.samkok911.com/2012/12/Road-to-Power-of-SimaYi.html

นางสาวอาทิตยา  สุวรรณสนธิ์ เลขที่ ๑๗ ม.๖/๒
นางสาวลลิตา  ชาติก้อน  เลขที่ ๓๑ ม.๖/๒

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

สุดยอดไอเท็ม"ลิปสติก"

ผู้หญิงกับลิปสติก
สวัสดีค่าาาาา วันนีมาเจอกันอีกแล้ววว วันนี้นะคะเราจะพูดถึงลิปสติกตามหัวข้อเลยค่ะ เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนต้องมีลิปสติกเป็นไอเท็มสำคัญที่ต้องติดกระเป๋าไว้เสมอแน่นอน เพราะเราก็ขาดมันไม่ได้เช่นกัน ลิปสติกนะคะเป็นสิ่งที่เสริมให้เราดูสดใส น่าเชื่อถือ น่ามอง แม้จะไม่ได้แต่งหน้า แต่อย่างน้อยมีสีที่ปากก็ทำให้ดูน่ามองมากยิ่งขึ้นค่ะ ดังนั้นเราจึงจะมาแนะนำให้คุณผู้หญิงและทุกเพศทุกวัย รู้จักกับลิปสติกให้มากยิ่งขึ้นอีกค่ะ เพราะลิปสติกมีมากมายหลายแบบและใช้ได้หลายโอกาสแถมยังมีประโยชน์อีกมากเลยด้วย 

ลักษณะเนื้อลิปสติก ทุกคนรู้มัยคะว่าเนื้อลิปนั้นมีถึง 9 แบบเลยแต่ละแบบนั้นก็จะมี Texture ที่แตกต่างกันออกไปค่ะ เราไปทำความรู้จักกันดีกว่าค่ะ 

1. ลิปสติกเนื้อครีม 

ลิปสติกเนื้อครีมจะอัดแน่นไปด้วยเม็ดสี ทาแล้วจะเห็นเป็นสีสันชัดเจน ไม่ทำให้ปากแห้ง และสีชัดติดทนนาน ส่วนใหญ่จะใช้พู่กันลิปสติกในการทาลงที่ริมฝีปากเพื่อความสม่ำเสมอของพื้นผิวและสีสัน รวมทั้งใช้ร่วมกับดินสอเขียนขอบปากสีเดียวกันหรือสีที่เท่ากับสีธรรมชาติของริมฝีปาก เพื่อป้องกันไม่ให้ลิปสติกเปรอะเปื้อนออกนอกขอบเขตอีกด้วย 





2. ลิปสติกเนื้อแมท
ลิปสติกเนื้อแมทจะมีความเข้มข้นของเนื้อสีชัดมากที่สุด เป็นลิปสติกเนื้อด้านที่ขาดความมันวาว ทาแล้วจะแห้งและติดทนนาน และด้วยการที่เป็นลิปสติกที่ไร้ความมันวาว เวลาทาอาจทำให้ริมฝีปากแห้งได้ง่าย สำหรับคุณสาว ๆ ที่มีปัญหาปากแห้งทาแล้วอาจจะไม่เหมาะ เพราะจะทำให้ตกร่อง และเป็นคราบ ดังนั้นเวลาทาอาจจะทาลิปบาล์มเพื่อความชุ่มชื้นเสียก่อน รวมทั้งเลือกใช้ลิปสติกเนื้อแมทที่มีส่วนผสมของวิตามินอีและอโลเวรา ก็จะช่วยให้เรียวปากชุ่มชื้นและเนียนขึ้นได้นะคะ





3. ลิปสติกเนื้อเชียร์และเนื้อซาติน 
ลิปสติกเนื้อเชียร์และเนื้อซาตินมีสีสันเพียงบาง ๆ มีส่วนผสมของน้ำมันอยู่เยอะ ให้ความมันวาวได้ดีระดับหนึ่ง ใช้เพื่อเน้นสีสันธรรมชาติของริมฝีปากให้ชัดเจนขึ้นหรือเติมสีสันใหม่ลงไปเพียงจาง ๆ เท่านั้น สามารถใช้แทนลิปบาล์มเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากไปพร้อม ๆ กับให้สีสันใส ๆ เป็นธรรมชาติ
เมื่ออยู่ในแท่งอาจดูมีสีเข้ม แต่จะอ่อนลงมากเมื่อนำมาใช้จริง ด้วยเม็ดสีที่ไม่แน่นทำให้มันเหมาะกับผู้ที่ไม่ปรารถนาการใช้ลิปสติกสีจัด และไม่อยากทาลิปกลอสให้เหนียวเหนอะริมฝีปาก อย่างไรก็ดีลิปสติกเนื้อเชียร์และเนื้อซาตินนี้สามารถทาทับได้หลายครั้งโดยไม่เป็นคราบ




4. ฟรอสตี้ลิปสติก
เป็นลิปสติกที่มีเนื้อสีเข้มข้น มีประกายมุก เนื่องจากมีส่วนผสมของกริตเตอร์ เมื่อทาแล้วจะทำให้ริมฝีปากดูเปล่งปลั่งสดใสและมีประกาย แต่ไม่มันวาวจนเกินไป




5. ลิปสติกเนื้อมันวาว 
ลิปสติกเนื้อมันวาว หรือ Shine Lipstick จะเป็นลิปสติกที่มีส่วนผสมของกลิตเตอร์นิด ๆ มันวาวแบบกลอสซี่ เมื่อทาแล้วจะทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม เนียนสวย และชุ่มชื้นมาก





6. ลิควิคลิปสติก
 ลิควิคลิปสติก หรือที่สาว ๆ เรียกกันติดปากว่า "ลิปจิ้มจุ่ม" เป็นลิปสติกที่มาแรงมากในชั่วโมงนี้ ซึ่งลิปสติกประเภทนี้จะมีลักษณะเป็นเนื้อเหลว เม็ดสีชัดเจน ทาแล้วสีปากจะสวยเด้งติดทนนานตลอดทั้งวัน มีทั้งแบบที่เป็นเนื้อวาว หรือบางรุ่นทแล้วจะเปลี่ยนเป็นเนื้อแมทก็มี




7. ลิปกลอส และทินส์
ลิปกลอสเป็นลิปสติกชนิดเนื้อเหลว โปร่งแสง บางอันอาจมีประกายมุก ทาแล้วจะเป็นสีใส ๆ แวววาว ทำให้ริมฝีปากชุ่มช่ำ อวบอิ่มอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถใช้ทาลงบนริมฝีปากได้โดยตรง หรือจะใช้ทาทับลิปสติกสีอื่นเพื่อเพิ่มความแวววาวก็ยังได้
ลิปทินส์เป็นลิปสติกชนิดเนื้อเหลว คล้าย ๆ กับลิปกลอสแต่จะหนืดน้อยกว่า ใช้สำหรับช่วยเพิ่มสีสันให้กับริมฝีปาก มักจะนิยมทาริมฝีปากบาง ๆ ด้านใน ใช้คู่กับลิปกลอส ทำให้ริมฝีบางดูสดใสอย่างเป็นธรรมชาติ







8. ลิปไลเนอร์
ลิปไลเนอร์ หรือดินสอเขียนขอบปาก ใช้สำหรับเน้นขอบและเรียวปากให้ชัดเจนขึ้น มักจะใช้เป็นสีที่ใกล้เคียงกับลิปสติก โดยจะใช้วาดขอบก่อนลงลิปสติก จะช่วยให้ริมฝีปากสวยเนี้ยบคมชัดมากขึ้น





9. ลิปบาล์มหรือลิปมัน
ลิปสติกประเภทนี้ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีสี หรือบางอันอาจเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ ทาแล้วให้ความชุ่มชื้นกับริมฝีปากได้ดี นอกจากใช้ทาที่ริมฝีปากโดยตรงแล้ว ยังนิยมใช้ทาก่อนลงลิปสติกสีอื่นทับ เพื่อช่วยให้ริมฝีปากไม่แห้งและชุ่มชื้นมากขึ้น



รูปแบบของลิปสติก 
1.ลิปสติกแบบแท่ง ( lipstick )


2.ลิปสติกแบบจิ่มจุ่ม ( liquid lipstick ) 



3.ลิปสติกแบบดินสอ ( pencil lipstick )



4.พาเลท ลิปสติก ( palette lipstick )


สีลิปสติกกับสีผิว
สาวผิวขาว
เป็นสาวที่มีผิวได้เปรียบกว่าทุกสีผิวเลยก็ว่าได้เนื่องจากผิวสีขาวสามารถเลือกใช้ลิปสติกได้กับทุกสีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นลิปสติกสีสันสดใสอย่างสีส้มอ่อนหรือสีชมพูอ่อนและเข้มรวมถึงสีลิปสติกสีแซ่บๆ แบบโทนสีแดงก็ร้อนแรงและเซ็กซี่ไม่เบาเลยค่ะ ดังนั้น หากอยากแต่งลุคเซ็กซี่ให้ริมฝีปากดูร้อนแรงก็ควรเลือกเฉดสีแดงได้เลยตามชอบหรือหากแต่งแบบลุคสาวหวาน อ่อนโยน น่ารักก็เลือกโทนสีลิปสติกสีอ่อนๆ อย่างชมพูได้เลยเช่นกันค่ะ



สาวผิวเหลือง
เป็นสีผิวสำหรับสาวไทยเราส่วนใหญ่ เพราะสาวๆ เรามักมีสีผิวสีนี้กันเยอะ สำหรับสาวผิวขาวอมเหลืองนั้น สีลิปสติกที่เหมาะสมกับคุณนั้นควรเลือกเฉดสีที่ช่วยปรับให้ใบหน้าของคุณดูสว่างยิ่งขึ้น ซึ่งได้แก่ ลิปสติกสีแดงและสีชมพูเข้มจากนั้นให้ทาทับตามด้วยลิปกลอสใสๆ เพียงเท่านี้ก็ช่วยขับริมฝีปากให้มีประกายแวววาวน่ามองแล้วค่ะ




สาวผิวสองสีหรือสีแทน
เนื่องจากเป็นสาวโทนสีเข้มหรือโทนสองสีก็ควรเลือกสีลิปสติกที่ช่วยขับผิวให้ยิ่งมีประกายผุดผ่องยิ่งขึ้นพร้อมกัน โดยสีลิปสติกที่ทาแล้วยิ่งทำให้ผิวของคุณโดดเด่นยิ่งขึ้นก็คือ ลิปสติกสีส้มหรือสีนู้ดแบบที่ผสมกับชิมเมอร์นั่นเองค่ะ เพียงนำสีลิปสติกสีดังกล่าวมาแต่งแต้มบนริมฝีปากของคุณกันเป็นประจำก่อนออกจากบ้าน เท่านี้ก็จะช่วยขับสีผิวของสาวๆ ให้สว่างมากขึ้นได้แล้วและยังช่วยให้ริมฝีปากแวววาวระยิบระยับมากขึ้นอีกด้วย



สาวผิวเข้ม
สำหรับสาวที่มีโทนสีผิวคล้ำหรือสีเข้ม แนะนำให้เลือกใช้สีลิปสติกที่มีการผสมโทนสีน้ำตาลรวมอยู่ด้วย อย่างเช่น สีส้มอิฐ สีชมพูนู้ด รวมทั้งสีโทนเข้มๆ อย่างสีแดงเชอร์รี่และสีม่วงก็จะช่วยขับให้ผิวหน้าของคุณสาวๆ ที่มีสีผิวเข้มแลดูสว่างผุดผ่องมากขึ้นได้แล้วค่ะ



สีลิปสติกกับโอกาส
1.นัดสำคัญ สัมภาษณ์งาน ควรเลือกลิปสติกสีเข้ม โทนสีตุ่นๆ ไม่ฉูดฉาด ดูสุภาพ และน่าเชื่อถือ



2.พบปะผู้ใหญ่ ควรเลือกลิปสติกสีธรรมชาติ ใกล้เคียงสีปากจริง ดูสดใส สุภาพ อ่อนโยน



3.เที่ยวกับเพื่อนสาว ควรเลือกลิปสติกสีสด เฉดสีที่ชอบ เป็นตัวเองพร้อมแซ่บไปกับเพื่อนสาว



4.เดทแรก ควรเลือกสีลิปสติกที่สดใส ไม่เข้มหรืออ่อนจนเกินไป ช่วยให้ดูมีชีวิตชีวา ไม่ดูดุจนเกินไป



5.Everyday look เลือกลิปสติกเฉดสีที่ชอบได้ตามใจ แต่ไม่ควรเข้มจนเกินไปเพราะในวันสบายๆที่ไม่แต่งหน้าจัดอาจดูไม่เข้ากัน


ก็จบไปแล้วนะคะสำหรับการแนะนำเกี่ยวกับลิปสติกต่างๆทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกลิปสติกก็ควรเลือกสีที่เราชอบนะคะไม่จำเป็นต้องทำตามที่แนะนำก็ได้แต่เผื่อใครยังค้นหาตัวเองไม่เจอก็สามารถหาข้อมูลแนะนำเพิ่มเติมได้จ้าาา สำหรับวันนี้ต้องไปแล้วค่ะ บ้ายบาย
❤❤❤

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.sanook.com/women/74693/
https://sistacafe.com/summaries/36329-
https://women.kapook.com/view102665.html
https://www.google.co.th/search?biw=1366&bih


👇👇👇

ประวัติส่วนตัว


ชื่อ-สกุล นางสาวอาทิตยา  สุวรรณสนธิ์ ชื่อเล่น กิ่ง
 วัน/เดือน/ปีเกิด วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2544  อายุ 17 ปี
ประวัติการศึกษา : สำเร็จการศึกษาระดับประถมจาก โรงเรียนบางเขน(ไว้สาลีอนุสรณ์) จังหวัดกรุงเทพมหานคร
สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจาก โรงเรียนดอนเมืองทหารอากาศบำรุง จังหวัดกรุงเทพมหานคร
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่ 5/2 แผนการเรียน วิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ โรงเรียนดอนเมืองทหารอากาศบำรุง จังหวัดกรุงเทพมหานคร
นิสัยส่วนตัว : เป็นคนร่าเริงแจ่มใส หัวเราะตลอด พูดมาก ขี้โวยวาย โกรธยาก หายง่าย ใจเย็น ไม่คิดเล็กคิดน้อย ชอบทำเรื่องไร้สาระตลกดี ไม่ชอบคนงี่เง่า ไม่ชอบคนไร้มารยาทไม่รู้จักกาลเทศะและพูดไม่คิด  
คติประจำใจ : work hard play harder (ทำงานหนักแค่ไหนพักผ่อนไปสิบเท่า) 
สิ่งที่อยากเป็นในอานาคต : คนรวย เวรี่รวย billionaire
งานอดิเรก : นอน ดูซีรีย์ ร้องเพลงและเต้นกับชาวแก๊ง 
อาหารที่ชอบ : อะไรก็ได้ที่แม่ทำ
ความชอบส่วนตัว : รักสุนัขมากกกกกกกกก ชอบนอน ชอบกิน ชอบกลิ่นที่สะอาด ชอบอากาศหนาว ชอบทุกอย่างที่มองแล้วสบายตา

🙏🙏🙏










วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2561

ฟอสฟอรัสแดง

ฟอสฟอรัสแดง

ฟอสฟอรัส (Phosphorus) เป็นธาตุอโลหะ เลขอะตอม 15 สัญลักษณ์
         ฟอสฟอรัสอยู่ในกลุ่มไนโตรเจน มีวาเลนซ์ ได้มาก ปรากฏในหลายอัลโลโทรป พบทั้งในหินฟอสเฟต และเซลล์สิ่งมีชีวิตทุกเซลล์ (ในสารประกอบในดีเอ็นเอเนื่องจากสามารถทำปฏิกิริยาได้สูง จึงไม่ปรากฏในรูปอิสระในธรรมชาติ
         คำว่า ฟอสฟอรัส มาจากภาษากรีก แปลว่า 'ส่องแสงและ 'นำพาเพราะฟอสฟอรัสเรืองแสงอ่อนๆ เมื่อมีออกซิเจน หรือมาจากภาษาละติน แปลว่า 'ดาวประกายพรึก
ในขณะที่ภาษาไทยในสมัยก่อน เรียก ฟอสฟอรัส ว่า 'ฝาสุภเรศ'
         ค้นพบประมาณปี 1669 โดยนักเล่นแร่แปรธาตุชาวเยอรมัน เฮนนิก แบรนด์
         ฟอสฟอรัสเป็นอโลหะอยู่ในหมู่ที่ VA หมู่เดียวกับธาตุไนโตรเจนในธรรมชาติไม่พบฟอสฟอรัสในรูปของธาตุอิสระ แต่จะพบในรูปของสารประกอบฟอสเฟตที่สำคัญได้แก่หินฟอสเฟต หรือแคลเซียมฟอสเฟต (Ca2(PO4)2) ฟลูออไรอะปาไทต์ (Ca5F (PO4)3)
   
ฟอสฟอรัสแดง  คือ พอลิเมอร์ของฟอสฟอรัสขาว เกิดจากการนำฟอสฟอรัสขาวมาเผาหรือทิ้งไว้นานๆเป็นผงสีแดงแก่ ไม่ละลายใน CS2หรือตัวทำละลายอินทรีย์ใดๆไม่ระเหย ไม่เป็นพิษและไม่ว่องไวต่อปฏิกิริยาไม่สามรถลุกไหม้ได้เองที่อุณหภูมิต่ำกว่า 240 c สามารถระเหิดได้ที่อุณหภูมิประมาณ 420 c มีโครงสร้างแบบโครงตาข่าย ใช้ทำผิวกล่องไม้ขีดไฟ


สมบัติของฟอสฟอรัสแดง
1. เป็นของแข็งสีแดง เป็นรูปที่เสถียรกว่าฟอสฟอรัสขาว

2. มีจุดหลอมเหลว 590 C ที่ 43 บรรยากาศ

3. มีความหนาแน่น 2.34 g/cm3

4. ไม่นำไฟฟ้า

5. ไม่ละลายในน้ำและ CS2

6. ลุกไหม้ในอากาศที่อุณหภูมิ 250 C


ประโยชน์  


ฟอสฟอรัสแดงใช้ในอุตสาหกรรมทำไม้ขีดไฟ  ธูป  ประทัด ระเบิดเพลิง หมอกควัน ใช้เตรียม P2O5 เพื่อใช้เป็นสารตั้งต้นในการเตรียมกรดฟอสฟอริก (H3PO4)  ฟอสฟอรัสในรูปฟอสเฟตช่วยทำหน้าที่ ควบคุมความเป็นกรดเบสในเลือดและของเหลวในร่างกายของสิ่งมีชีวิตใช้ทำปุ๋ยซุปเปอร์ฟอสเฟต Ca(H2PO4) 2 ใช้ทำสารฆ่าแมลงพวกออแกโน-ฟอสเฟต ซึ่งสลายตัวได้ง่าย ใช้ผสมในผงซักฟอกเพื่อช่วยกำจัดไอออนในน้ำกระด้าง ช่วยปรับสภาพความเป็นเบสของน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการซักล้างและยังช่วยจับกับสิ่งสกปรกอื่นไม่ให้กลับไปจับกับเสื้อผ้าได้อีก





โครงสร้างฟอสฟอรัสแดง



👉  ารทำโมเดลฟอสฟอรัสแดง หากต้องการสร้างให้มีสมบัติ "สามารถติดไฟได้" เราจึงใช้อุปกรณ์ที่จะช่วยในการติดไฟได้ ต้องมีองค์ประกอบของไฟ ดังนี้
      1.ออกซิเจน ( Oxygen )ไม่ต่ำกว่า 16 % (ในบรรยากาศ  ปกติจะมีออกซิเจนอยู่ประมาณ 21 %)
      2.เชื้อเพลิง ( Fuel )  ส่วนที่เป็นไอ (เชื้อเพลิงไม่มีไอ ไฟไม่ติด)
      3.ความร้อน ( Heat ) เพียงพอทำให้เกิดการลุกไหม้
ไฟจะติดเมื่อองค์ประกอบครบ  อย่าง  ทำปฏิกิริยาทางเคมีต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ( Chain Reaction)
  
       ดังนั้นอุปกรณ์ที่จะช่วยในการติดไฟ คือ  "แอลกอฮอล์" ซึ่งสามารถติดไฟได้ดี เพราะมีสมบัติทางเคมีดังนี้ 
-แอลกอฮอล์สามารถติดไฟได้ดี ไม่มีเขม่าควันได้ผลิตภัณฑ์เป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำเป็นปฏิกิริยาคายพลังงาน

วิธีการดับไฟมี 3 วิธี คือ
       1.ทำให้อับอากาศ ขาดออกซิเจน
       2.ตัดเชื้อเพลิง กำจัดเชื้อเพลิงให้หมดไป
         3.ลดความร้อน ทำให้เย็นตัวลง                                                              ถ้าหากเราตัดองค์ประกอบของไฟอย่างใดอย่างหนึ่งออกไฟก็จะดับลงได้ ซึ่งควรดับให้สนิทเพราะเมื่อเวลาผ่านไปองค์ประกอบทั้ง3อย่างกับมารวมกันอีกครั้ง ไฟก็จะลุกขึ้นมาติดได้อีก



🔎🔎🔎


ขอบคุณข้อมูลจาก
1.https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA
2.http://www.kme10.com/mo4y2552/mo403/noname21.htm
3.http://www.satriwit3.ac.th/external_newsblog.php?links=1721
4.https://www.safe-t-cut-cm.com/องค์ประกอบของไฟมี3-อย่าง-2978.page



วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

กับข้าวคุณแม่ "เต้าหู้ทรงเครื่อง"



เต้าหู้ทรงเครื่อง
          สวัสดีค่ะ วันนี้มาพบกันอีกล้าวววววว ดูจากหัวข้อเเล้ววันนี้เราก็คงจะมาพูดถึงอาหารกันแน่ๆค่ะ55555555 พอดีวันนี้คุณแม่เข้าครัวเราก็เลยต้องไปเป็นลูกมือค่ะ ขาดคนเตรียมวัตถุดิบ55555555 เมนูที่เราจะนำมาแชร์ให้ทุกคนดูวันนี้เป็นเมนูที่ทำง่ายค่ะ ขั้นตอนอาจจะยุ่งยากนิดหน่อยแต่รับรองอร่อยถูกใจคุณลูกๆแบบเราแน่นอน นอกจากจะอร่อยแล้วยังได้รับคุณประโยชน์จากอาหารอีกด้วยยยยยย
เมนูนั้นก็คือ "เต้าหู้ทรงเครื่อง" เราไปเริ่มทำกันเลยดีกว่าค่ะ👇

วัตถุดิบ
1.เต้าหู้ไข่
2.หมูบด
3.เห็ดออรินจิหั่นเต๋า
4.หัวหอมใหญ่หั่นเต๋า   
5.แครอทหั่นเต๋า
6.ต้นหอมซอย
7.คื่นฉ่ายหั่นท่อน

เครื่องปรุงรส
1.น้ำมัน
2.ซีอิ๊วขาว
3.ผงปรุงรส                     
4.น้ำตาล
5.น้ำมันหอย                            

วิธีทำ
เราจะแบ่งขั้นตอนการทำเป็น 2 ส่วนนะคะ คือส่วนเต้าหู้กับน้ำราดค่ะ เรามาเริ่มส่วนแรกกันเลยค่ะ

-ทอดเต้าหู้

1.นำน้ำมันใส่กระทะพอประมาณ ใช้ไฟอ่อนนะคะ


2.รอจนน้ำมันร้อนแล้วนำเต้าหู้ที่เราหั่นไว้ลงไปทอด




 3.รอให้อีกด้านหนึ่งสุกเป็นสีเหลืองสวยก็กลับอีกด้านรอจนสุกเป็นสีเหลืองสวยเช่นกันค่ะ ระวังอย่าทอดนานนะคะเดี๋ยวจะไหม้


4.เมื่อสุกเป็นเหลืองสวยทั้งสองด้านแล้วให้นำขึ้นจากกระทะแล้วนำไปพักไว้ค่ะ



-น้ำราดเต้าหู้ทรงเครื่อง

1.นำน้ำมันใส่กระทะเล็กน้อยค่ะ เราสามารถใช้น้ำมันที่ทอดเต้าหู้มาใช้ต่อได้นะคะเพื่อประหยัดทัพยากรค่ะ 55555555555 ใช้ไฟกลางนะคะ

2.เมื่อน้ำมันร้อนแล้วเราใส่หัวหอมใหญ่ ผัดเล็กน้อยแล้วก็ใส่หมูบดลงไปค่ะผัดจนหมูสุก



3.เมื่อหมูสุกก็ใส่แครอทลงไป ตามด้วยน้ำต้มสุกค่ะถ้ามีน้ำสต็อกก็ใส่ได้เช่นกันค่ะ ผัดจนแครอทเริ่มนิ่ม




4.เมื่อแครอทเริ่มนิ่มให้ใส่เห็ดออรินจิลงไปค่ะ ผัดจนเริ่มสุก




5.พอเห็ดเริ่มสุกเราก็ใส่เครื่องปรุงลงไปค่ะ ที่เราจะใส่มีแค่ซีอิ๊วขาว ผงปรุงรส น้ำตาล น้ำมันหอย ปริมาณในการใส่ก็กะๆเอาตามชอบนะคะ ไม่มีปริมาณตายตัวค่ะทำตามวิธีบ้านๆเลย ชิมๆปรุงๆ (ในการทำเต้าหู้ทรงเครื่องต้องใส่แป้งข้าวโพดเพื่อให้น้ำมีความเหนียวนะคะ แต่เราไม่ชอบจึงไม่ได้ใส่ แต่หากใครชอบก็ใส่ไปได้เลยค่ะ)

    


6.เมื่อได้รสชาติที่ชอบแล้วเราก็ใส่ต้นหอมซอยกับคื่นช่ายลงไปแล้วปิดไฟได้เลยค่ะ 




7.นำน้ำราดเต้าหู้ทรงเครื่องตักราดใส่เต้าหู้ที่เราพักไว้ได้เลยแล้วจัดจานให้สวยงาม เป็นอันเสร็จเรียบร้อย แนะนำให้รับประทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆจะอร่อยมากกก


😋😋😋


เป็นยังไงกันบ้างคะ ไม่ยากเลยใช่มั้ยล่าาาาาาาา ถ้าไม่ยากทุกคนสามารถลองไปทำกันได้นะคะ นอกจากจะมีประโยชน์และอร่อยแล้วยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ด้วยน้าาาา การทำอาหารไม่ยากเลยนะคะ ไม่ได้มีรสชาติตายตัวแค่ทำตามรสชาติที่เราชอบก็พอแล้วค่ะ
สำหรับวันนี้ถ้าเขียนผิดพลาดอย่างไรขอโทษด้วยนะคะ ไปแล้วจ้าาา บ๊ายบายยย
❤❤❤❤










วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

บทวิจารณ์

บทวิจารณ์
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยว

     
  สวัสดีค่ะ มาพบกับกิ่งอีกแล้วนะค้าาาาาาา หลายกระทู้แล้วยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ฮ่าๆ วันนี้กิ่งจะมาเขียนบทวิจารณ์รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวของเพื่อนๆกิ่งเองค่ะ ในการเขียนบทวิจารณ์กิ่งเพิ่งเคยเขียนครั้งแรก เอาเป็นว่ากิ่งขออนุญาตเขียนตามความรู้สึกนะคะ วันนี้กิ่งจะเขียนวิจารณ์ทั้งหมด 3 คนค่ะ เรามาเริ่มกันที่คนแรกกันเลย ลุยยยยยยยยยยยยยย


1.รีวิวหาดนางรำ 


  ในวันหยุดว่างๆ หากเพื่อนๆอยากออกไปเที่ยว เพื่อพักผ่อน และไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร สามารถนั่งรถส่วนตัวไปหรือจะนั่งรถโดยสารไปก็ได้ แบดก็อยากจะแนะนำ หาดนางรำและนางรองซึ่งเป็นทะเลแฝดที่สวยงานอีกที่หนึ่งในประเทศไทย เพราะเนื่องจากมีน้ำทะเลที่ใสสะอาดอาด สามารถมองเห็นปลาตัวเป็นๆได้ น้ำทะเลก็เป็นสีฟ้าครามแถมมีหาดทรายขาวๆ มีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มากมายเนื่องจากเป็นวัดหยุดแต่หากจะมาในวันธรรมดาบรรยากาศก็จะเงียบสงบซึ่งเหมาะกับการพักผ่อนเป็นที่สุด หากเพื่อนๆจะเตรียมของทะเลมาทานแบดก็แนะนำให้ปรุงสุกมาก่อนเพราะเนื่องจากเขาไม่ให้นำเตามาย่างในหาดได้ หรือเพื่อนๆจะสั่งตามร้านอาหารที่อยู่แถวๆหาดก็ได้แต่ราคาอาจจะแพงไปหน่อย และอีกอย่างคือหาดนางรำนางรองนี้มีวิวสวยๆให้เพื่อนได้ถ่ายรูปกันได้เยอะมากก
อ่านเพิ่มเติมได้ที่  http://missbatza.blogspot.com/2018/07/2-1.html

บทวิจารณ์
- สำหรับรีวิวการท่องเที่ยว หาดนางรำของคุณแบดนะคะ อ่านแล้วรู้สึกว่าหาดนางรำเป็นที่พักผ่อนที่เหมาะสำหรับผักผ่อนๆจริงๆค่ะ ดูตามภาพที่คุณแบดนำมาให้ชมแล้วสวยมากๆรู้สึกว่าต้องได้ไปเที่ยวซักครั้งหนึ่งเลยค่ะ สำหรับเรื่องการเดินทางนะคะคุณแบดอธิบายได้ละเอียดมากค่ะบอกวิธีการเดินทางหลายทางซึ่งค่อนข้างสะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการจะไปตามรีวิวของคุณแบด ส่วนเรื่องอาหารคุณแบดก็บอกละเอียดเช่นกันมีการแนะนำให้นำอาหารมาเองด้วยซึ่งเป็นประโยชน์ต่อคนอ่านมากค่ะ สิ่งอำนวยความสะดวกก็บอกอย่างละเอียดทำให้ผู้อ่านสามารถเตรียมตัวและเตรียมพร้อมในการไปได้ถูกต้อง
   เรื่องภาษาที่คุณแบดใช้เขียนนะคะคุณแบดใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายค่ะแถมการพรรณนายังทำให้คิดภาพตามได้เลย แต่ว่าสิ่งที่ขอติเล็กน้อยคือ การรีวิวสั้นไปหน่อยค่ะ อยากให้ยาวกว่านี้อีกหน่อยจะดีมากเลยค่ะ แต่ภาพรวมแล้วการรีวิวของคุณแบดนั้นโอเคมากเลย มีความละเอียด ชัดเจนแทบทุกๆเรื่องเลย ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านมากเลยค่ะ



2.ไปเที่ยวทะเลกันเต๊อะ




ฉันได้ชักชวนเพื่อนๆให้ไปเที่ยวทะเลที่บ้านของฉันที่ปากน้ำปราณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เรานัดกันนานมากกว่าจะได้ไป เกือบจะไม่ได้ไปแล้วด้วยซ้ำ 555 แต่ก็โชคดีที่ยังได้ไป  พวกเราไปกันทั้งหมด5คนโดยเดินทางโดยรถของฉันที่มีปู่ย่าเป็นผู้ปกครองที่คอยดูแลพวกเราทุกคน มันสนุกตั้งแต่เริ่มเดินทางเลยแหละ เพราะรถของฉันมันไม่มีแอร์ ตอนแรกคิดว่าทุกคนจะร้อนและบ่นกันหนัก แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น ทุกคนต่างดูสนุกและมีความสุขกันมากๆ พอไปถึงฉันก็พาเพื่อนไปดูห้องพักและนอนพักผ่อนกันนิดหน่อยก่อนที่เราจะไปเที่ยวกันเมื่อถึงเวลาที่จะไปเที่ยวพวกเราตื่นเต้นกันมากเราพากันไปเที่ยวเขากะโหลกที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านมาก โดยนั่งรถซาเล้งไป5555 เมื่อไปถึงเพื่อนๆทุกคนตื่นเต้นและชอบมากเพราะมันสวย สะอาด น้ำทะเลน่าเล่นมากๆ พวกเราพากันเดินขึ้นไปถ่ายรูปอยู่บนเขามันสวยมากๆ และก็มีความสุขมากที่ได้มาเที่ยวทะเลแบบนี้กับเพื่อนๆ และที่เขากะโหลกนี้เป็นที่ที่คนค่อนข้างที่จะนิยมมาเที่ยว เป็นที่รู้จักเป็นอย่างมาก

 อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://arthitiyaporn.blogspot.com/2018/07/blog-post.html
บทวิจารณ์
- จากการอ่านการรีวิวแล้วรู้สึกได้ถึงความสุขของผู้เขียนจริงๆค่ะ ดูท่าทางจะสนุกในระหว่างการเดินทางจนถึงวันสุดท้ายของการไปเที่ยวเลยนะคะ เห็นด้วยค่ะว่าการไปเที่ยวกับเพื่อนนั้นมีความสุขและสนุกจริงๆ ในการรีวิวนี้เป็นการรีวิวแบบเรียบๆโดยผ่านการเล่าเรื่องการทำกิจกรรมของทุกคน ตอนอ่านก็รู้สึกได้ถึงอะไรหลายๆอย่างนะคะหลักๆคือมีความสุขตามคนเขียน ตามหลักการค่ะมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย ข้อเสียก็มีไม่มากค่ะ คือ ผู้เขียนน่าจะเขียนเส้นทางการเดินทางไว้หน่อยค่ะเพราะผู้อ่านหากต้องการที่จะไปจะได้ไปถูกค่ะ ส่วนตัวอยากให้รีวิวยาวๆและภาพเยอะๆกว่านี้สักเล็กน้อยค่ะ ผู้อ่านจะได้ดูภาพสวยๆและอยากไปตามการรีวิวค่ะ


3.รีวิวเกษตรแฟร์ 61




สวัสดีเพื่อนๆทุกคนค่ะ วันนี้เราจะมาพาทุกคนไปงานที่เด็กๆนิสิตนักศึกษาตั้งตารอคอยกันค่ะ งานที่ว่านี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจาก งานเกษตรแฟร์ ของเรานี่เองค่า โดยงานนี้นะคะ จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขนค่ะ ภายในงานจะมีผลิตภัณฑ์ และสินค้ามากมายหลายแนว มีครบทุกอย่างทุกเรื่องและเหมาะกับทุกคน ไม่ว่าจะวัยไหน อาชีพอะไรถ้าหากได้มาเดินงานเกษตรแฟร์แล้วจะไม่ผิดหวังแน่นอนค่า น้องขอรับประกัน

อ่านเพิ่มเติมได้ที่  http://minklcmnk.blogspot.com/2018/07/61-1-29.html


บทวิจารณ์

- สำหรับการรีวิวเกษตรแฟร์ 61 เป็นการรีวิวที่ส่วนตัวชอบมากก คือโอเคมากเลยรีวิวจนอยากไปในตอนที่อ่านเลยย เพราะว่าหิว5555555555555555555 ชอบตรงที่รีวิวอาหารซะส่วนใหญ่ ในการเขียนภาษาที่ใช้ดีมากเลยค่ะ ในการเขียนก็ละเอียดมากโดยเฉพาะการเดินทางและพิกัดร้านอาหารที่เด็ดๆของที่นั่นสำหรับรีวิวนี้ไม่มีอะไรจะติเลยค่ะแต่จะดีไปอี๊กถ้ารีวิวรสชาติอาหารและเครื่องดื่มด้วย ส่วนภาพที่นำมาให้ชมก็สวยเชิญชวนให้ไปมากๆ และสุดท้ายๆหนุ่มๆงานดีมากเลยค้าาาาาาาา555555555555555



        " ก็จบไปแล้วสำหรับวิจารณ์บทความการรีวิวการท่องเที่ยวนะคะ สำหรับบทวิจารณ์ที่เขียนไปเราเขียนตามความรู้สึกและสิ่งที่สำผัสได้ในการรีวิวนะคะ หากผิดพลาดอย่างไรขอโทษด้วยนะคะ"

❤❤❤❤






คณะและมหาวิทยาลัยที่ต้องการศึกษาต่อ

คณะและมหาวิทยาลัยที่ต้องการศึกษาต่อ

          สวัสดีค่ะ วันนี้มาเจอกันอีกแล้ววววววววววววววววว แต่วันนี้เรื่องที่เราจะมาพูดถึงนั้นเป็นเรื่องของเราเองค่ะ ซึ่งจะเป็นเรื่องอนาคตข้างหน้าของเราเลยย คือเรื่องมหาวิทยาลัยและคณะที่เราต้องการศึกษาต่อ ซึ่งจะขอบอกก่อนว่าอันตัวเรานี้ไม่ได้มีความใฝ่ฝันอะไรเลยนะคะ ไม่มีความมานะอันแรงกล้าด้วยเรียนๆเปื่อยๆให้มันจบๆไป ฉะนั้นคณะที่เราเลือกมาพูดในวันนี้จะเป็นคณะที่ตัวเราคิดว่าเราเรียนได้ เรียนไหวและเหมาะสมกับตัวเราและสมองเรามากที่สุด นั่นก็คือ คณะหมูกรอบ! แฮร่!! ไม่ใช่! โอเคค่ะคณะที่ต้องการศึกษาคือ คณะการจัดการโรงเเรมและรีสอร์ท วิทยาลัยดุสิตธานี เดี๋ยวเราไปดูประวัติคร่าวๆของวิทยาลัยดุสิตธานีและข้อมูลของคณะซักเล็กน้อยดีกว่าค่ะ


Image result for มหาวิทยาลัยดุสิตธานี

วิทยาลัยดุสิตธานี


ประวัติวิทยาลัยดุสิตธานี

พ.ศ. ๒๕๓๖

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2536 บนถนนศรีนครินทร์ เขตประเวศ กรุงเทพฯ "โรงเรียนการโรงแรมดุสิตธานี" ได้ถือกำเนิดขึ้นจากปณิธานอันแรงกล้าของ ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ซี่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และอดีตวุฒิสมาชิก โดยผลสืบเนื่องมาจาก
  1. ขาดแคลนผู้ปฏิบัติงานระดับเจ้า หน้าที่ทั่วไป ซี่งจะต้องเป็นผู้มีประสบการณ์และได้ศึกษามา จึงจะเข้าใจและสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้อง
  2. สถาบันที่ผลิตบุคลากรมีไม่เพียงพอ และที่มีอยู่บางสถาบันจัดสอนเพียงทฤษฎี แต่การปฏิบัติงานในธุรกิจโรงแรมต้องเรียนรู้ ทั้งภาคทฤษฎีและ ภาคปฏิบัติ
  3. ขาดแคลนหลักสูตรที่สมบูรณ์แบบทางวิชาชีพด้านธุรกิจโรงแรม ให้มีการสอนสอดคล้องกับความสามารถของผู้เรียน และความต้องการ ของโรงแรม
  4. ขาดผู้นำในการพัฒนาด้านวิชาการของธุรกิจโรงแรม ซึ่งจะต้องพัฒนาทางด้านทฤษฎีและภาคปฏิบัติไปพร้อมกัน
จากสภาพการณ์โดยสรุปข้างต้น โรงเรียนการโรงแรมดุสิตธานีจึงได้รับการจัดตั้งขึ้น เพื่อผลิตบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในวิชาชีพเฉพาะ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาธุรกิจโรงแรม ให้รุดหน้าทัดเทียมนานาประเทศ ซึ่งจะมีผลดีต่อประเทศชาติโดยรวม ซึ่งในระยะแรกได้เปิดทำการสอนหลักสูตรเต็มเวลา ใช้เวลาในการศึกษาเล่าเรียนหลักสูตร 2 ปี ได้แก่
  1. หลักสูตรประกาศนียบัตรด้านการปฏิบัติการโรงแรม (Diploma in Hotel Operations)
  2. หลักสูตรประกาศนียบัตรด้านศิลปะการประกอบอาหาร (Professional Chef Diploma)

พ.ศ. ๒๕๓๙

นับตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการสอนเป็นต้นมาโรงเรียนการโรงแรมดุสิตธานี ได้มุ่งเน้นความเป็นเลิศทางวิชาการ และการจัดการเรียนการสอนอย่างมีคุณภาพ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ จึงเป็นโรงเรียนแห่งแรกในประเทศ ไทยที่ได้รับอนุมัติจากทบวงมหาวิทยาลัย ให้มีฐานะเป็นวิทยาลัยเปิดสอนระดับปริญญาตรี โดยเริ่มในปีการศึกษา 2539 ปัจจุบันวิทยาลัยดุสิตธานี เปิดสอนหลักสูตรระดับปริญญาตรี จำนวน 5 สาขา วิชาได้แก่
  • สาขาวิชาการจัดการโรงแรมและรีสอร์ท
  • สาขาวิชาการจัดการครัวและศิลปะการประกอบอาหาร
  • สาขาวิชาการจัดการท่องเที่ยว
  • สาขาวิชาการจัดการสปา
  • สาขาวิชาการจัดการไมซ์และอิเว็นตส์
    หลักสูตรนานาชาติระดับปริญญาตรี จำนวน 2 สาขาวิชา ได้แก่
  • Bachelor of Business Administration in Hotel and Resort Management
  • Bachelor of Business Administration Program in Culinary Arts and Restaurant Management
    และ หลักสูตรระดับปริญญาโท 1 สาขาวิชา คือ
สาขาวิชาการจัดการโรงแรมและภัตตาคาร

คณะการจัดการโรงแรมและรีสอร์ท
หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาการจัดการโรงแรมและรีสอร์ท เป็นสาขาการศึกษาที่จัดขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ในการผลิตบัณฑิตที่มีความสามารถด้วยรูปแบบของการศึกษาที่ถูกออกแบบมาให้นักศึกษาได้มีความคุ้นเคยกับอุตสาหกรรมการบริการตั้งแต่เริ่มต้น พร้อมกับการเรียนรู้ทฤษฎีด้านการบริหารจัดการธุรกิจพื้นฐานและภาคปฏิบัติทั้งในส่วนหน้าและสำนักงานบริหารของโรงแรม ในช่วงปีแรกของการศึกษานักศึกษาจะได้เรียนรู้ถึงหลักสูตรด้านการบริหารการจัดการที่ทันสมัย การวิจัยและโอกาสในการสร้างเสริมทักษะด้านการจัดการของแต่ละบุคคล ในช่วงปีสุดท้ายนักศึกษาจะได้รับการฝึกฝนในด้านทักษะความเป็นผู้นำ ฝึกให้มีความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบต่อสังคมแบบบูรณาการและอื่นๆ ทักษะทางด้านอื่น


วิชาภาคปฏิบัติในการฝึกงานภาคสนาม 1,200 ชั่วโมง ซึ่งอยู่ภายใต้การดูและอย่างใกล้ชิดจากคณาจารย์ของวิทยาลัย ถือเป็นอีกหนึ่งโครงสร้างที่สำคัญของหลักสูตรนี้ โดยแบ่งเป็นการฝึกปฏิบัติในสองส่วน คือในส่วนหน้าหรือบริการ และสำนักงานเพื่อเรียนงานบริหารทั่วไปในอุตสาหกรรมโรงแรมและรีสอร์ท จุดมุ่งหมายในการฝึกงานในส่วนต่างๆ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ใช้ความรู้ทั้งทางทฤษฎีและการปฏิบัติที่ศึกษามาในสภาพแวดล้อมและสถานที่ปฏิบัติงานจริง ซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับผู้สำเร็จการศึกษาพร้อมสำหรับตำแหน่งผู้บริหารและความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบริการ

          เอาหล่ะค่ะเราก็ได้รู้จักวิทยาลัยและคณะที่เราต้องการจะศึกษาต่อคร่าวๆแล้วนะคะตอนนี้เราก็จะมาพูดถึงเรื่องของตัวเองบ้างค่ะ เราก็อยากจะแชร์ความคิดของเราว่าทำไมถึงอยากเรียน อะไรทำให้เราต้องการที่จะเรียนสิ่งนี้และที่นี่ ซึ่งสิ่งที่เราจะเขียนต่อไปนี้เป็น Q&A ที่ถามเองตอบเอง โอเค เริ่ม!


ทำไมถึงอยากเรียนคณะนี้?
- ต้องขอบอกก่อนว่าตอนนี้เรากำลังศึกษาชั้นมัธยมปลายสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นอะไรที่เราไม่ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกทั้งวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ขอยอมรับเลยว่าตอนแรกที่เลือกเรียนเพราะคิดว่าสายนี้มันกว้างเข้าได้ทุกคณะโดยไม่รู้เลยว่ามันจะยากขนาดนี้ พอตอนนี้อ่ะค่ะเรารู้สึกว่าถ้าเข้ามหาวิทยาลัยเราคงที่จะไม่เลือกเรียนสายนี้อีกแล้ว คงเรียนไม่ไหวแน่ๆ แล้วพอดีพี่สาวทำงานสายการโรงแรมพี่สาวเลยแนะนำคณะนี้ค่ะ เพราะส่วนใหญ่จะเน้นปฏิบัติมากกว่าและเน้นภาษาค่ะ ซึ่งตัวเราชอบภาษาอังกฤษและก็พอเรียนได้ค่ะ ซึ่งเราชอบใช้แรงงานมากกว่าใช้สมองอยู่แล้วแถมรายได้นั้นค่อนข้างดีงามค่ะแต่งานก็หนักตามรายได้นะคะ ซึ่งเราสู้ตายค่ะ! เราเลยเกิดความสนใจค่ะ

ทำไมถึงเลือกเรียนที่นี่?
- วิทยาลัยนี้ขึ้นชื่อในเรื่อง การโรงแรม อาหารและทุกๆอย่างเกี่ยวกับงานบริการในโรงเเรมค่ะ ซึ่งคนที่รู้จักก็แนะนำมาอีกแล้วค่ะเพราะว่าคนรู้จักเคยเรียนที่นี่และปัจจุบันก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จค่ะ ในวิทยาลัยจะเน้นการปฏิบัติมากๆซึ่งชอบค่ะ ชอบมากกว่าทฤษฎีทำให้เราเรียนรู้ได้อย่างถ่องแท้แน่นอนและอีกอย่างภายในวิทยาลัยมีโรงแรมสำหรับให้นักศึกษาฝึกงานด้วยค่ะ ดีสุดๆ แต่การที่เราอยากเรียนที่นี่ไม่ได้แปลว่าเราจะเรียนที่นี่นะคะเพราะค่าเทอมที่นี่ขึ้นชื่อว่า แพงมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงค่ะ แต่ผลตอบแทนด้านการศึกษาก็สูงเช่นกันค่ะ

เรียนคณะนี้จบไปแล้วทำงานอะไร?
- เรียนการโรงแรมก็ต้องทำงานในโรงแรมสิคะ555555555555555555 ล้อเล่นค่ะ สายงานนี้ตามชื่อก็ค่อนข้างตายตัวค่ะเรียนด้านการโรงแรมส่วนใหญ่ก็ทำงานในโรงแรมค่ะ หน้าที่อะไรก็ว่าไปค่ะเพราะภายในโรงแรมมีหลายหน้าที่ค่ะ  แต่ก็มีอีกหลายอาชีพที่จบไปแล้วสามารถทำได้ ดังนี้ค่ะ 
1. ธุรกิจนำเที่ยวและตัวแทนท่องเที่ยว 
เช่น ไกด์หรือมัคคุเทศก์ ล่ามแปลภาษา พนักงานประสานงานทัวร์ พนักงานจำหน่ายบัตรโดยสารและสำรองตั๋ว เจ้าหน้าที่ออกแบบโปรแกรมนำเที่ยว ที่ปรึกษาการท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่บริการข้อมูลลูกค้า เป็นต้น
2. ธุรกิจการบริการและโรงแรม 
เช่น ผู้จัดการโรงแรม พนักงานฝ่ายต้อนรับ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายธุรการ ฝ่ายอาคารสถานที่ ฝ่ายจัดเลี้ยง เจ้าหน้าที่แผนกครัว/เครื่องดื่ม บาร์เทนเดอร์/เชฟ พนักงานบริการบนเรือสำราญ เจ้าหน้าที่ประสานงานและดูแลลูกค้า เป็นต้น
3. ธุรกิจการประชุมและการแสดงสินค้า
เช่น พนักงานบริษัทรับจัดอีเว้นท์ พนักงานประสานงานการประชุมและแสดงสินค้า พนักงานขายและการตลาด พนักงานวางแผนและดำเนินการจัดกิจกรรมพิเศษ 
4. ธุรกิจสายการบินเช่น พนักงานบริการผู้โดยสารบนเครื่องบิน(แอร์โฮสเตส/สจ๊วต) พนักงานสำรองตั๋วเครื่องบิน พนักงานบริการผู้โดยสารภาคพื้น พนักงานฝ่ายขนส่งสินค้าทางอากาศ เจ้าหน้าที่ในองค์การและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสายการบิน   
5. ​ผู้ประกอบการธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
เช่น ผู้ประกอบการนำเที่ยวหรือไกด์ส่วนตัว ผู้ประกอบการธุรกิจตัวแทนท่องเที่ยว และอาชีพอื่นๆ ตามความถนัดและสนใจ
6. สายงานอื่นที่เกี่ยวข้อง 
เช่น เจ้าหน้าที่ประจำสถานฑูต เจ้าหน้าที่ประสานงานธุรกิจระหว่างประเทศ เลขานุการ เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ เช่น นักพัฒนาการท่องเที่ยว นักส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือนักวิชาการท่องเที่ยว เป็นต้น

หากต้องการจะเรียนคณะนี้และที่นี่จะต้องทำอย่างไรบ้าง?

1. กำหนดการรับสมัคร

ภาคต้น
รับสมัคร     มกราคม – กรกฎาคม
ภาคปลาย
รับสมัคร     กันยายน-มกราคม 
คุณสมบัติผู้สมัคร
หลักสูตรปริญญาตรี (4 ปี)  จบการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6)  ปวช. หริอเทียบเท่า
หลักสูตรปริญญาตรี (เทียบโอน) จบการศึกษาไม่ต่ำกว่า ปวส.หรือ ประกาศนียบัตรอื่นที่เทียบเท่าด้านบริหารธุรกิจหรือสาขาที่ใกล้เคียง  เช่น  การโรงแรม การท่องเที่ยว การจัดการ การขาย/การตลาด การบัญชี การเงิน/การธนาคาร คอมพิวเตอร์ธุรกิจ อาหารและโภชนาการ
ผู้หญิงควรมีส่วนสูง 155 ซม. ผู้ชายควรมีความสูง 165 ซม.ขึ้นไป น้ำหนักเป็นสัดส่วนกับส่วนสูงตามมาตรฐานสากล

2. การรับสมัครและการสอบคัดเลือก

ผู้สมัครทุกคนต้องผ่านการสอบคัดเลือก โดยแบ่งออกเป็นการสอบข้อเขียน และการสอบสัมภาษณ์ ดังนี้
- การสอบข้อเขียนทุกสาขาวิชาทั้งหลักสูตรปริญญาตรีและหลักสูตรปริญญาตรี (เทียบโอน) สอบวิชาภาษาอังกฤษ วิชาคณิตศาสตร์ และสอบสัมภาษณ์
- ผู้สมัครที่จบมัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญที่มีคะแนน O-NET วิชาภาษาอังกฤษและวิชาคณิตศาสตร์ วิชาละ 35 คะแนน จะได้รับการพิจารณายกเว้นไม่ต้องสอบข้อเขียน แต่ต้องสอบสัมภาษณ์ ทั้งนี้จะต้องนำคะแนน O-NET มายื่นในวันสมัคร และคะแนนที่สอบต้องไม่เกินระยะเวลา 1 ปีของวันที่สมัคร
- วิทยาลัยจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาต่อหลักสูตรระดับปริญญาตรี ภายในวันที่วิทยาลัยกำหนด ณ ป้ายประกาศบริเวณชั้น 1 อาคาร 1 หรือ http://www.dtc.ac.th

3. เอกสารประกอบการสมัคร 

ใบสมัครของวิทยาลัย
สำเนาใบรายงานผลการศึกษา (ใบ ร.บ.) จำนวน 2 ฉบับ
สำเนาใบสุทธิ หรือใบรับรองที่แสดงว่าสำเร็จการศึกษาจำนวน 1 ฉบับ
สำเนาทะเบียนบ้าน จำนวน  1 ฉบับ
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน 1 ฉบับ
สำเนาหลักฐานการเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี) จำนวน 1 ฉบับ
รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมแว่นตาดำ ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 3 รูป ถ่ายมาแล้วไม่เกิน 6 เดือน
ใบรับรองแพทย์ (ใช้แบบฟอร์มวิทยาลัย)
ค่าสมัคร 500 บาท 

4. วิธีการสมัคร

1. สมัครโดยตรงที่ วิทยาลัยดุสิตธานี
2. สมัครทางไปรษณีย์ โดยส่งใบสมัครทางไปรษณีย์พร้อมชำระค่าธรรมเนียมการสมัคร 500 บาท
    โดยการโอนเงินเข้าบัญชี วิทยาลัยดุสิตธานี ประเภทสะสมทรัพย์
ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนพัฒนาการ บัญชีสะสมทรัพย์ เลขที่ 198-0-85294-9
ธนาคารกสิกรไทย สาขาซีคอนแสควร์ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่  095-2-48283-1
          

          สิ่งที่นำมาเขียนในวันนี้นะคะเป็นเพียงส่วนเล็กๆในการศึกษาต่อของเราเท่านั้นค่ะ ยังมีเหตุผลอีกมากในการเลือกเรียนของเราค่ะ และยังมีรายละเอียดยิบย่อยในการเรียนของคณะนี้อีกค่ะที่เขียนบล็อกนี้ขึ้นมาเพื่อจะมาแชร์ความคิดและแชร์ความรู้เกี่ยวกับคณะนี้ให้เป็นที่รู้จักอีกมากค่ะและในปัจจุบันตลาดแรงงานยังต้องการสายอาชีพนี้อีกมากเพราะประเทศไทยของเรานั้นโด่งดังเรื่องการท่องเที่ยวเป็นอย่างมากจึงอยากให้ทุกคนลองพิจารณาสายอาชีพนี้ดูนะคะ
         สุดท้ายนี้อยากจะขอให้ทุกคนโชคดีกับการเลือกทางเดินของชีวิตของตัวเองนะคะ ขอให้มีความสุขกับสิ่งที่เลือก เพียงแค่คุณค้นหาว่าตัวเองชอบอะไรไม่ชอบอะไร ถนัดสิ่งไหน อะไรที่เหมาะกับเรา เท่านั้นชีวิตการเรียนและการทำงานของเราก็จะมีความสุข และอีกอย่างที่จะฝากไม่ว่าเราจะเรียนมหาวิทยาลัยไหนไม่ว่ารัฐบาลหรือเอกชนจะมีชื่อเสียงหรือไม่ก็สามารถประสบความสำเร็จได้เพียงแค่เราเป็นคนดี มีความมุ่งมั่น และพยายามนะคะ สู้สู้ค่ะ

❤❤❤❤

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://www.dtc.ac.th/th/
-https://www.admissionpremium.com/hotel/news/3105






















สุมาอี้ ประวัติและบทบาท เป็นชาวอำเภออุน เมืองเหอเน่ย (โห้ลาย) มณฑลเหอหนาน มีชื่อรองว่า จ้งต๋า มีลักษณะ แววตาแหลมเล็กคล้ายต...